top of page

อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นในเดือนมกราคม: ผลกระทบต่อผู้บริโภคและนักลงทุน

Feb 18

ใช้เวลาอ่าน 1 นาที

อัปเดตเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2025

ree

เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง สร้างความกังวลในตลาด

อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 2.8% และสูงกว่า 2.9% ในเดือนธันวาคม 2024 ทำให้อัตราเงินเฟ้อแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ พฤษภาคม 2024 แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) จะพยายามควบคุมเงินเฟ้อ แต่ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในด้านที่อยู่อาศัย อาหาร และพลังงาน ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่กดดันเศรษฐกิจ


อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่ผันผวน เพิ่มขึ้นเป็น 3.3% จาก 3.2% สะท้อนให้เห็นว่าแรงกดดันด้านราคาในเศรษฐกิจยังคงสูงอยู่ เป็นผลให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยออกไปเป็นอย่างน้อยเดือนกันยายน 2025 เลื่อนออกไปจากที่ก่อนหน้านี้คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี


เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ ยังคงสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ผู้บริโภค ธุรกิจ และนักลงทุนควรเตรียมรับมืออย่างไร?


ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในภาคส่วนสำคัญ

หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นคือ ต้นทุนที่อยู่อาศัย ซึ่งยังคงสูงต่อเนื่อง ด้วยความต้องการเช่าที่เพิ่มขึ้นและอุปทานที่อยู่อาศัยที่ยังคงมีจำกัด ค่าเช่ายังคงเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น


ราคาอาหารก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนเพิ่มขึ้น สินค้าจำเป็น เช่น อาหารและค่าอาหารนอกบ้านยังคงมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น


ในขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงก็เพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการตามฤดูกาลและปัญหาในห่วงโซ่อุปทานที่ยังคงมีอยู่ การเพิ่มขึ้นของต้นทุนพลังงานไม่เพียงส่งผลต่อราคาน้ำมันที่ปั๊มเท่านั้น แต่ยังทำให้ ต้นทุนขนส่งและการผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้นด้วย


นอกจากนี้ ภาษีนำเข้าสินค้า ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ภาษีนำเข้าใหม่จากจีน เม็กซิโก และแคนาดารวมถึง ภาษีที่เพิ่มขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์เหล็กและอลูมิเนียม ได้เพิ่มต้นทุนการผลิตของธุรกิจ ซึ่งในหลายกรณีธุรกิจได้ส่งต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภค


ผลกระทบต่อธนาคารกลางสหรัฐและอัตราดอกเบี้ย

ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดการณ์ ธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไป ก่อนหน้านี้ นักลงทุนคาดหวังว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลงใน เดือนมิถุนายน 2025 แต่ขณะนี้คาดการณ์ได้ถูกเลื่อนออกไปเป็น เดือนกันยายนหรือหลังจากนั้น


อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นหมายถึง:

  • ต้นทุนการกู้ยืมยังคงสูง – อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่อยู่อาศัย, สินเชื่อรถยนต์ และบัตรเครดิตจะยังคงอยู่ในระดับสูง

  • ความผันผวนในตลาดหุ้นยังคงอยู่ – นักลงทุนอาจต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อรองรับความล่าช้าในการปรับนโยบายของ Fed

  • การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว – ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นอาจทำให้ธุรกิจลดการลงทุน และอาจส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง


แนวทางต่อไปของ Fed จะขึ้นอยู่กับว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงหรือไม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ Fed ต้องระมัดระวังก่อนตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ย


แนวโน้มตลาด: อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป?

สำหรับผู้บริโภค อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นหมายถึงภาระค่าครองชีพที่ยังคงอยู่ ค่าใช้จ่ายหลัก เช่น ค่าเช่า อาหาร และพลังงานจะยังคงมีราคาสูง ซึ่งทำให้การวางแผนทางการเงินเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งขึ้น


สำหรับนักลงทุน การชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยอาจเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาด ภาคส่วนที่มักได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยต่ำ เช่น เทคโนโลยีและอสังหาริมทรัพย์ อาจเผชิญกับความท้าทายเพิ่มเติม ในขณะที่ สินทรัพย์ที่สามารถป้องกันเงินเฟ้อ เช่น สินค้าโภคภัณฑ์และหุ้นของบริษัทที่มีอำนาจในการกำหนดราคา อาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า


สำหรับธุรกิจ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและภาษีนำเข้าอาจกระทบต่อกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ภาคการผลิตและอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการนำเข้า บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องหาวิธี จัดการกับต้นทุนที่สูงขึ้นโดยไม่ส่งผ่านภาระไปยังผู้บริโภคมากเกินไป เพราะอาจทำให้ความต้องการลดลง


แหล่งที่มาของบทความ


Feb 18

ใช้เวลาอ่าน 1 นาที

โพสต์ที่คล้ายกัน

bottom of page